เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๙ พ.ค. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ เราไปวัด ไปวัดก็เพื่อสัจธรรม เพื่อฟังธรรมของเราไง เราจะสร้างบุญกุศลในหัวใจดวงนี้นะ หัวใจดวงนี้ต้องสร้างบุญกุศลแล้วตอกย้ำมันไง

อานิสงส์ของการฟังธรรมๆ สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วก็ตอกย้ำๆ

ตอกย้ำเพราะอะไร

ตอกย้ำเพราะกิเลสมันใส่ไฟ กิเลสมันคอยใส่ไฟ มันคอยยุแหย่ มันคอยทำลาย “เราไม่มีวาสนาหรอก เราทำไม่ได้หรอก คนอย่างเรานี่หรือจะบรรลุธรรม” นี่กิเลสมันใส่ไฟ ถึงฟังธรรมๆ เพื่อตอกย้ำๆ ไง

พอตอกย้ำ เห็นไหม เวลาสุขภาพกาย สุขภาพจิตที่ดี คนที่ร่างกายแข็งแรงเขาจะไม่เห็นคุณค่าของสุขภาพร่างกายของเขาเลย คนที่เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาเขาจะเห็นคุณค่าของความหายจากเจ็บไข้ได้ป่วย

ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ

แต่คนที่สุขภาพจิตที่ไม่ดีเขาก็ส่งโรงพยาบาลใช่ไหม แต่โรคระบาด โรคระบาดคือโรคกิเลสมันระบาดอยู่ในหัวใจของสัตว์โลกทั้งสิ้นทั้งมวล ทั้งสิ้นทั้งมวลเพราะจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันต้องมีเชื้ออวิชชามันถึงได้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง

เวลาเกิดโรคระบาดไข้เลือดออก เขาก็ไปกำจัดยุงลาย สภาวะแวดล้อมขึ้นมา เรามาวัดมาวาขึ้นมา มีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา เราก็กำจัดสิ่งที่ไอ้ขี้เกียจขี้คร้านของเราไง เราขี้เกียจขี้คร้าน เราไม่ยอมทำวัตร เราไม่ยอมภาวนา เรามาวัดมาวาในสภาวะแวดล้อมที่ดีขึ้นมาเพื่อชักจูงกัน

เวลาพระบวชใหม่ๆ บางวัดเขาทำวัตรแล้วเขานั่งสมาธิภาวนา แต่เราอยู่สายของบ้านตาดมา บ้านตาดท่านบอกว่า มันเป็นเรื่องของเด็กๆ เวลาคนที่ภาวนาจะเอาสองสามชั่วโมงขึ้นมา ไอ้พวกที่เด็กๆ เด็กๆ มันได้ประโยชน์จากเกาะอิงผู้ใหญ่ไป เกาะอิงผู้ใหญ่ไป เวลาภาวนาแล้ว ทำวัตรสวดมนต์แล้วก็ภาวนาสามชั่วโมงสี่ชั่วโมง มันจำเป็น มันบังคับต้องให้นั่ง แต่เวลาถ้านั่ง ถ้าคนเป็นสมาธิได้นะ เวลาเป็นสมาธิแล้ว ถ้านั่งเกินสามชั่วโมงสี่ชั่วโมงไป แอ็กชัน อวดดี นี่มันขัดมันแย้งกัน ท่านถึงให้เป็นอิสระ

หลวงปู่มั่นท่านก็ให้เป็นอิสระ ฉะนั้น เวลาลงศาลาท่านเทศน์เลย เทศน์เสร็จแล้วนั่งภาวนา เวลาจิตมันลง เวลาจิตมันลงถ้ามันจะถอนน่ะ

ทีนี้พระที่ดีๆ เราอยู่ในวงการของครูบาอาจารย์ ท่านพยายามรักษาไว้ๆ สติรักษาไว้ไม่ให้มันลงสมาธิที่ลึกเกินไป เพราะเดี๋ยวถ้าเลิกแล้วเลิกพร้อมกัน เพราะอะไร เพราะรักษาหมู่คณะไว้ อย่าให้ใครเห็นว่าคนนู้นดีกว่าคนนี้ คนนี้ดีกว่าคนนั้น นี่เวลาพอปฏิบัติไป เวลาเราลงศาลามาก็เทศนาว่าการเลย แล้วเราประพฤติปฏิบัติเอา

เวลาปฏิบัติ สภาพแวดล้อมที่ดีๆ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา โรคระบาดขึ้นมา เวลาเขารักษาสภาพแวดล้อมที่ดี ไปวัดไปวาขึ้นมาถ้าเป็นวัดที่ดีมันไม่มีเชื้อโรคไง

เวลาอีโบลามันตายหมดเลย แล้วจะทำอย่างไรล่ะ เขาก็พยายามค้นคว้าหาวัคซีนกัน ไอ้นี่เรามาวัดมาวา เราเป็นชาวพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็วางทาน ศีล ภาวนา นี่วัคซีนป้องกันโรค ไอ้ความมักมากอยากใหญ่ ไอ้อยากย่ำยีเขาน่ะ

แล้วเวลาคนไปวัดไปวา คนที่เดี๋ยวนี้โลกปัจจุบันมันเจริญ มันมีบริษัทที่ปรึกษาไง “เฮ้ย! เข้าช่องไหนวะ” พอไปวัดมันจะหาช่องเข้าเลยนะ มันจะเรียนลัด

แต่ถ้าเราไปวัดไปวา ทำบุญก็ทำบุญน่ะ แล้วเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ ปฏิคาหก สะอาดบริสุทธิ์ ทำอย่างไรก็ได้ ทำอย่างไรบุญของเรา

วันวิสาขบูชาเราได้มาทำทานร่วมกัน เรามีบุญมีกุศลร่วมกัน เราทำร่วมกัน จิตใจที่เราเป็นธรรมมันมีค่ามันมหาศาลเลย ความสะอาดบริสุทธิ์ของหัวใจที่ยิ่งใหญ่มันมีคุณค่ามาก หัวใจที่สูงส่งขึ้นมา เรายกขึ้นให้มันสูงส่งคุณค่าอันนี้

เราทำทานเราก็ทำทานของเรา ทานก็คือทาน แล้วทานที่มีคุณค่ามาก ทานที่มีเจตนาที่สะอาดบริสุทธิ์ไง ไม่ต้อง “เฮ้ย! เข้าช่องไหนวะ”

เราเห็นบ่อย จะเข้าช่องนั้น จะเข้าช่องนี้

แล้วทำไมจะเข้าช่องนี้ ประตูไม่เข้าล่ะ ประตูเปิดเข้ามาสิ ทำไมต้องเข้าช่องนั้นช่องนี้

ทาน ศีล ภาวนา เราทำบุญร่วมกันๆ เราสิ่งใดก็แล้วแต่เราเกิดความสามัคคีธรรมในหมู่ของเรา นี่สิ่งที่เป็นวัคซีนป้องกันๆ ทาน ศีล

ศีลก็ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ ถ้ามันมีศีลมีธรรม ศีลมันจะมีคุณค่าในตัวของมันเลย แล้วถ้ามันฝึกหัดจนชำนาญ เวลาผิดศีล ท่องสวดมนต์ผิดรู้เลยนะ ไอ้นี่เราไม่เคยทำๆ พอไปทำ อู๋ย! ผิด ถ้าเราทำจนเป็นนิสัย แต่ถ้าเราไม่เคยทำ ผิด ผิดอะไร เขาทำกันทั้งบ้านทั้งเมือง เขาทำกันทั้งนั้นเลย เขาทำกันอย่างนี้แหละ เขาทำอย่างนี้ก็ทำอย่างนี้

นี่ไง สภาคกรรม กรรมที่เกิดร่วมกัน แล้วพอเกิดร่วมกัน สภาวะแวดล้อม เห็นไหม ถ้าคนที่มีศีลมีธรรม มีคุณธรรมนะ ฝนตกต้องตามฤดูกาล เมื่อก่อนสมัยโบราณนะ ถ้าภัยแล้งเขาจับกษัตริย์บูชายัญเลย เขาหาว่ากษัตริย์นั้นผิด ไม่อยู่ในคลองธรรม ถ้ากษัตริย์อยู่ในคลองธรรม ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ทุกอย่างสงบเรียบร้อยดีงาม

นี่ไง ถ้าเรามีศีล ศีลจะป้องกันเรา ถ้ามีศีล มีปัญญา นี่ปัญญาเต็มที่แล้ว

นี่พูดถึงว่าถ้ามันเกิดโรคระบาดๆ ถ้ามันมีศีลมีธรรมคุ้มครองเรา ถ้ามีศีลมีธรรมคุ้มครองเรา ฟังธรรมๆ เพื่อตอกย้ำหัวใจดวงนี้ไง ถ้าหัวใจดวงนี้มันเป็นประโยชน์กับเราๆ

ของของเราแท้ๆ ของของเราทำไมมันเป็นประโยชน์กับเราไม่ได้ หัวใจของเราแท้ๆ ทำไมมันเป็นประโยชน์กับเราไม่ได้ หัวใจของเราแท้ๆ มันเป็นเรื่องของเรา

ดูสิ ร่างกายของเรามีโรคภัยไข้เจ็บ มันมีสิ่งเชื้อโรคอยู่ในร่างกายเรา มันมีของมันอยู่แล้ว นี่ก็เหมือนกัน ของเราแท้ๆ ของเราแท้ๆ เวลามันปะทุขึ้นมา กิเลสตัณหาควาทะยานอยากมันปะทุมา มันทุกข์ร้อนไปทั้งนั้น หัวใจมันบีบคั้นไปทั้งนั้น ถ้าบีบคั้นไปทั้งนั้น ฟังธรรมๆ ตอกย้ำมันไว้ ฝึกหัดมันไว้ๆ ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ไง ถ้าฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ ถ้าเราฟังธรรมแล้วเราประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมา เวลาปฏิบัติขึ้นมาไม่ต้องบอก ไม่ต้องบอกเลยนะ “รู้แล้วๆ” เลยล่ะ

ตอนนี้ขาดอยู่อย่างเดียวเท่านั้นน่ะ ขาดทำให้มันได้

“รู้แล้วๆๆ” นี่ไง เวลาหลวงปู่คำดี เวลาท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน เวลาท่านติดของท่าน ท่านรู้ว่าท่านติดนะ แล้วท่านพยายามขวนขวายออกไม่ได้ หลวงตาเล่าประจำ ท่านออกมาจุดธูปเลย อธิษฐานเลย ขอให้หลวงตาพระมหาบัวมาแก้ให้ พอมาแก้ พอมาอธิบายเข้าน่ะ “รู้แล้วๆๆ”

นี่ขนาดไม่รู้ก็คือไม่รู้นะ รู้แล้ว รู้แล้วทำให้ได้อย่างที่รู้ได้ไหม นี่ไง เทศนาว่าการ คนที่เทศนาว่าการ เอ็งทำอย่างนั้นหรือเปล่า อาจารย์เทศน์ๆ เทศน์แล้วทำอย่างนั้นหรือเปล่า

หนึ่งตัวอย่างดีกว่าร้อยคำสั่ง

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำอย่างนั้นเลย

เราอยู่กับหลวงตาพระมหาบัว ท่านพูดเอง “หมู่คณะอย่าจับผิดกันนะ อย่ามองกัน เด็กๆ มันไม่มีความสามารถที่จะรักษาใจได้หรอก ให้มองเราเป็นตัวอย่าง ให้มองเรา”

ท่านยืนยันให้มองตัวท่านเลย ให้มองผู้นำที่ดี ผู้นำมันต้องทำอย่างไร แล้วถ้าผู้นำที่ดีท่านทำของท่าน

นี่ไง เด็กเล็กน้อยมันเท่าๆ กัน มันไม่ทันกัน แต่ถ้าดูผู้นำที่ดีๆ ถ้าผู้นำที่ดี เราบอกว่า เวลาเทศน์สอนเขา เทศน์สอนเขาทำอย่างนั้นหรือเปล่า ทำอย่างที่พูดหรือเปล่า

เบื้องหน้าและเบื้องหลัง

ถ้าเบื้องหน้าเบื้องหลังนะ เวลาเทศนาว่าการลูกศิษย์ของเราแท้ๆ เลย เวลามาเราบอกว่าใช้ปัญญาอบรมสมาธิ

ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เขาใช้ปัญญาของเขาไปเรื่อยเลย เวลาเขามาอุทธรณ์กับเราไง “หลวงพ่อ คิดจนถึงตอนนุ่งกางเกงขาสั้นแล้วนะ คิดถึงตอนเป็นเด็กๆ แล้วนะ” นี่มันฟูมาหมดล่ะ เวลาคนนั่งสมาธินะ เราทำความดีความชั่วมันคายออกมาทั้งสิ้น สิ่งใดที่ข้องใจอยู่น่ะมันออกมาทั้งสิ้นเลย ที่เราปกปิดไว้นั่นน่ะ นี่มันเพื่อทำความสะอาดของใจไง

ทำสมาธิๆ น่ะ อะไรก็ปกปิดไว้ นั่งทับไว้ มันเป็นสมาธิจริงหรือ ทุศีลเป็นมิจฉา ถ้ามันได้มาก็พวกฤๅษีชีไพรไง สิ่งที่ทำมนต์ดำไง มิจฉาสมาธิก็เยอะแยะไป ปัญญาที่ผิดพลาด ปัญญาที่มักมาก ปัญญาที่กว้านมาเพื่อเป็นสมบัติของตนก็เยอะแยะไป นั่นน่ะสร้างเวรสร้างกรรมทั้งสิ้น

แต่ธรรมะของเราธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วัคซีนป้องกัน ป้องกันไม่ให้กิเลสมันเกิด ป้องกันเฉยๆ นะ ป้องกันแล้ว พอป้องกันเพราะนี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรม เป็นสัจธรรม เป็นสัจธรรมแล้ว แต่เราจะทำของเราขึ้นมาให้ได้ เวลาเทศนาว่าการสอนเขาแล้วทำอย่างนี้หรือเปล่า

นี่ก็เหมือนกัน พอรู้แล้ว รู้แล้วเข้าใจแล้ว สัจธรรมเป็นอย่างนั้นน่ะ แล้วเราทำได้หรือเปล่า ถ้าเราทำได้ขึ้นมามันจะเป็นสัจจะเป็นข้อเท็จจริง ถ้าเป็นสัจจะเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมา รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง รสของธรรมๆ รสของความสงบระงับ

ครูบาอาจารย์ท่านพูดเลย ขออยู่คนเดียวเถอะ ถ้าอยู่คนเดียวมีความสุขมาก

ความสุขคือหนึ่งเดียว เอโก ธมฺโม ในใจอันนั้นน่ะ แต่เวลามันเป็นหน้าที่ แบกรับภาระ สิ่งที่ว่าอุปัชฌาย์อาจารย์เป็นที่พึ่งที่อาศัยร่มโพธิ์ร่มไทร เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ พระอานนท์ร้องไห้

เราอ่านมาจากในพระไตรปิฎกแล้วมันฝังใจ แล้วมันกินใจมาก

“ดวงตาของโลกดับแล้ว ดวงตาของโลก” พระอานนท์คร่ำครวญร้องไห้ “ดวงตาของโลกดับแล้ว” แล้วพอดับแล้วก็มาพิจารณา เป็นอย่างนั้นจริงๆ

อชาตศัตรูจะไปรบทัพจับศึกก็ให้คนไปถามว่าแพ้หรือชนะ เวลาคนมีทุกข์มียากขึ้นมาก็มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อนาคตังสญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคลี่คลายใคร่ครวญพยายามชักนำทำให้สิ่งที่ดีงาม มันสมกับคำว่า ดวงตาของโลกหรือไม่”

คนที่มีอาชีพสิ่งใดก็แล้วแต่มีอุปสรรคขัดข้องในชีวิตของตนก็มาทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งใดมาทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเข็มทิศชี้นำชีวิตเลยให้ไปสู่ที่ดีงาม เป็นผู้ที่เห็นดีเห็นงามด้วย ผู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐินะ

ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างเทวทัตแย่งชิงอำนาจเลย อยากจะปกครองสงฆ์ อยากจะปกครองสงฆ์โดยที่ไม่มีปัญญาที่ปกครองเขาได้ ไม่มีปัญญาปกครองเขาได้เพราะอะไร เพราะพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะมีสติปัญญามากกว่านั้น

คนที่มีสติปัญญาเขาใคร่ครวญ ปัญญาเขายิ่งใหญ่กว่า ที่เวลาแสดงธรรมขึ้นมาก็ฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เข้าใจก็ไปถามพระสารีบุตร เวลาพระสารีบุตรตอบปัญหาสิ่งใด ฟังจากพระสารีบุตรมาก็ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่คนที่มีปัญญายิ่งใหญ่ คนที่มีสติปัญญาอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ให้ปกครองเลย แล้วเวลาจะปกครองสงฆ์ ตัวเองมีปัญญามากน้อยแค่ไหนที่จะปกครองสงฆ์ แล้วพวกเดียรถีย์ นิครนถ์ แย่งชิงสาวกผู้มีศรัทธา แย่งชิงทำลาย

ไม่ใช่ว่าเราพูดถึงว่าเราเป็นคนดีงามแล้วมันจะดีงามไปหมดไง ไม่มีหรอกโลกนี้ เหรียญมีสองด้าน แม้แต่ใจของเราเองเดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ชั่ว เดี๋ยวก็คิดดีคิดร้าย เดี๋ยวก็สร้างแต่ความทุกข์ความยากบีบคั้นหัวใจของตน

นี่ไง ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้นะ

เวลาเกิดโรคระบาด สภาวะแวดล้อมที่ไม่ดี เวลามันติดเชื้อขึ้นมาเขาก็ป้องกันของเขา นี่สุขภาพกาย

โรคกิเลส กิเลสระบาดในหัวใจของตน ถ้ามีศีลมีธรรม เรามีวัคซีนป้องกันไว้นะ ถ้าเรามีวัคซีนป้องกันของเราไว้ ถ้าเรามีวัคซีนป้องกันแล้วเราเห็นประโยชน์

แต่วัคซีน วัคซีนที่หมดอายุ วัคซีนที่ไม่ดี มันก็เรียนมาแล้วก็อยู่ในตำรานั่นน่ะ คืนตำราหมดเลย แล้วเราก็มาอมทุกข์ๆ ใครโง่ใครฉลาด

ถ้าคนที่มันฉลาดนะ สิ่งใดเราเห็นคุณค่าๆ แม้แต่สติ สตินี้มันยับยั้งการกระทำผิดของเราได้หลายๆ เรื่องเลยถ้ามีสติ ถ้าขาดสติไปแล้ว รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำความผิดพลาดไปต่างๆ เราก็ทำไปแล้ว เวลามันทำไปแล้วเป็นวิบากกรรมนะ วิบากกรรมเพราะอะไร เพราะความลับไม่มีในโลกหรอก ใครเป็นคนทำ

เวลาเขาจับผู้ร้ายได้ ปากแข็ง ปากแข็งถึงเวลาแล้วก็สารภาพทั้งนั้นน่ะ นี่เวลาใครทำ ความลับไม่มีในโลก เราทำของเราไปแล้ว เราทำเพราะอะไร เพราะเราขาดสติ

พอขาดสติ มีสติสัมปชัญญะแล้วเราใช้ปัญญาใคร่ครวญเอาว่าสิ่งนั้นควรทำหรือไม่ควรทำ ถ้าไม่ควรทำก็พักมันไว้ก่อน แล้วทำคุณงามความดีของเราๆ แล้วทำคุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดีปิดทองหลังพระ ปิดทองก้นพระ

เพราะเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เวลาคนรู้คนเห็นขึ้นมา มันแปลกๆ แต่เราภาวนาของเราในป่าของเราคนเดียวมันไม่มีใครรู้ใครเห็นหรอก แต่ความจริงเทวดา อินทร์ พรหมเห็น เทวดา อินทร์ พรหมรู้ แต่มันรู้คนละมิติกัน แต่เขาก็เชิดชูบูชาๆ

นี่ไง ดูสิ พระนาคิตะเวลาเห็นคนเขาไปเที่ยวเล่นสนุกสนานครึกครื้นกันไง “โฮ้! เขามีความสุข อู๋ย! เขามีเขามีอำนาจวาสนา ไอ้เราเป็นคนที่คนทุกข์คนยาก”

นี่ในพระไตรปิฎก ญาติของท่านที่เป็นเทวดา ญาติของท่านหมายความว่าภพชาติหนึ่งเคยเกิดร่วมกัน แล้วเวลาพระนาคิตะมาเกิดมาเกิดเป็นพระนาคิตะ ญาติของท่านไปเกิดเป็นเทวดา ในความผูกพันมันใกล้ชิดกันมา มายับยั้งกลางอากาศเลย

“ไม่ใช่ ไอ้คนที่มันสนุกครึกครื้นไปเที่ยวเล่นที่มีวาสนา ไอ้นั่นน่ะเป็นอาหารของเต่า อาหารของป่า มันจะตายกองอยู่ในโลกนี้ ท่านต่างหาก พระนาคิตะต่างหาก เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาอยู่นี่ ท่านต่างหากเป็นผู้มีบุญ ท่านต่างหาก” คืนนั้นพระนาคิตะสำเร็จเป็นพระอรหันต์จากการเตือนสติของเทวดา เทวดาที่เป็นเครือญาติกัน

นี่ไง เวลาเราเห็นคนนู้นเขามีความสุข คนนี้เขาสนุกครึกครื้น คนนั้นเขายิ่งใหญ่...เขาตายเปล่าๆ นั่นน่ะ

เวลาเราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาให้มันถูกต้องดีงามเป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องดีงาม ศีล สมาธิ ปัญญา เราเดินจงกรม ถ้าเดิน หลวงตาท่านติเตียนประจำ “เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาโง่ยิ่งกว่าหมาตาย”

โง่ยิ่งกว่าหมาตายคือทำแค่กิริยาไง ทำแค่เป็นกิริยา ไม่ใช้สติ ไม่ใช้หัวคิดเลย ท่านจะย้ำว่าไม่ใช้หัวคิดเลย ไม่ใช้สติปัญญาเลย ถ้าใช้สติปัญญา ทำไมมันเป็นอย่างนี้ เดินจงกรมมาทั้งวันแล้วจิตใจมันลงหรือไม่ลง ไม่ลงมันเพราะเหตุใด

ถ้าเพราะเหตุใดขึ้นมาก็นี่ไง ตั้งแต่ตักอาหารนี่แหละ ตักอาหารขึ้นมาตอนเช้าเราฉันอะไรไป ฉันหมูสามชั้น ฉันหมูกรอบ เสร็จแล้วก็ไขมันในร่างกาย แล้วก็มานั่งสัปหงกโงกง่วง แล้วเวลามา พรุ่งนี้เช้าเราจะเอาใหม่ นี่เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาท่านทำของท่านอย่างนี้

ฉะนั้น เวลาโยมมาถวายทาน เวลาพระท่านพิจารณาของท่าน ใช่ โยมถวายทานแล้วบุญกุศลบริบูรณ์ แต่ตัวพระตอบสนองแล้ว แต่สิ่งใดที่มันเป็นประโยชน์มันเป็นโทษ เป็นโทษในการภาวนา เป็นโทษต่อการทำคุณงามความดี เวลาเป็นโทษท่านก็ละท่านก็เว้นของท่าน นั่นเป็นสิทธิ์ของท่าน เราไม่ใช่ว่าเราถวายสิ่งใดไปแล้วท่านต้องตอบสนองเราทั้งสิ้น

ท่านตอบสนองเราด้วยการรับ ด้วยการรับคือการประเคน ด้วยการรับเป็นบุญกุศลอยู่แล้ว แล้วบุญกุศลสิ่งใด ดูสิ คัดแยกออกไป สิ่งที่เป็นประโยชน์กับใครต่อเนื่องกันไป ถ้าไม่เป็นประโยชน์ต่อเนื่องกันไปมันก็จะเสียหายไปทั้งสิ้น เราคัดเราแยกออกไปเพื่อเป็นประโยชน์ต่อเนื่องไป ต่อเนื่องเอาไว้ทานคนต่อไป คนที่คนทุกข์คนยาก

คนที่คนทุกข์คนยาก คนที่หิวกระหาย แล้วเขาได้สิ่งใดที่ดับหิวดับกระหายของเขา เขาจะระลึกถึงคุณคนคนนั้นนะ แล้วเรา เราเคยหิวเคยกระหายไหม

พระกรรมฐานเราอดอาหาร ๕ วัน ๑๐ วัน อดเป็นเดือนๆ เวลาหิวกระหาย เวลากระเพาะมันร้องจ๊อกๆๆ น่ะ โรคหิวโรคกระหายที่มันบีบคั้นขึ้นมา แล้วเราตอบสนองด้วยน้ำใจๆ เราไม่ต้องการให้เขาอิ่มหนำสำราญตลอดไป เพราะมันเป็นไปไม่ได้ โรคหิวมันเป็นโรคประจำตัว คนเรามันขาดแคลนเป็นเรื่องปกติธรรมดา แล้วเรามีน้ำใจต่อกันๆ น้ำใจต่อกันเพราะอะไร นี่ไง วัคซีนๆ ป้องกันนะ

เวลาโรคระบาดมันเกิดขึ้น โรคกิเลสเราก็เกิดขึ้น แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีกำมือในเรา แบหมดเลย เราพยายามฝึกฝนค้นคว้าให้มันเป็นจริงขึ้นมาด้วยอำนาจวาสนาของตนนะ ด้วยอำนาจวาสนาของตนคือทัศนคติที่มอง ใช่หรือไม่ใช่

นี่ไง เวลาพระเราเวลาธุดงค์ไปนะ เวลาไปพักวัดใดก็แล้วแต่ กว่าจะขอนิสัยให้ดูกัน ๗ วัน มันทัศนคติมันไม่ตรงกัน ฉะนั้น กรรมฐาน ๔๐ ห้องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงการทำความสงบ ๔๐ วิธีการ

ทัศนคติ จริตนิสัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอด แต่พวกเราแบบว่ากำปั้นทุบดินน่ะ จะเอาแต่ทิฏฐิความเห็นของตนคนเดียว จะเอาแต่ความรู้ความเห็นของตนคนเดียว บังคับให้โลกเห็นเหมือนเรา เป็นไปไม่ได้

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปิดกว้างมาก ยิ่งหลวงตาท่านพูดนะ เวลาขั้นของปัญญาไม่มีขอบเขตเลย

ขั้นของปัญญาเพราะกิเลสมันปลิ้นปล้อนมันหลอกลวง มันปลิ้นไปตลอด ปัญญาจะไล่ตามไปทั้งสิ้น กิเลสจะไปอยู่ที่ไหนจะตามเข้าไปจิกหัวมันขึ้นมา พยายามค้นคว้ามันขึ้นมา ปัญญาจะไล่ตามไปไม่ให้มีสิ่งใดเป็นที่หลบอาศัยเลย ถ้ามันมีที่หลบอาศัยอยู่ มันยังค้างอยู่ในใจของตน มันยังกำจัดสิ้นกิเลสไปไม่ได้

นี่เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงๆ นะ เวลาปฏิบัติขึ้นมาถ้ามันเป็นจริงมันมีประสบการณ์ในใจขึ้นมามันเป็นความจริง

เวลาโรคระบาดเขาก็รักษาป้องกันกัน ไอ้โรคกิเลสๆ เราฟังธรรมๆ ขึ้นมาควบคุมดูแลเราไว้ แล้วก็รู้แล้วๆ แล้วทำให้มันได้เป็นความจริงขึ้นมาจากในใจของเรา ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาจากในใจของเรานะ สาธุ เป็นสมบัติของคนนั้น

หลวงตาท่านพูดประจำ “พระเราไม่ทรงธรรมทรงวินัยใครจะทรง”

พระเรา พระเป็นนักรบ ไม่ทรงธรรมทรงวินัยใครจะทรง แล้วถ้าทรงธรรมทรงวินัยต้องทำเป็นตัวอย่าง ทำเป็นแบบอย่าง

แล้วทำเป็นแบบอย่าง ที่ไหนเขาจะดีจะเลวเรื่องของเขา ที่ไหนเรื่องของเขานะ ที่นี่ต้องเป็นแบบนี้ แล้วเป็นแบบนี้ เป็นแบบนี้เพราะว่าทัศนคติ เพราะความเห็นถูกต้องดีงามไป แล้วถ้าถึงเวลาแล้ววันเวลามันเปลี่ยนแปลงไป กาลเวลา อันนั้นมันก็เรื่องของกาลเวลา มันถึงเวลาของมันไป

แต่ถ้าปัจจุบันแล้วต้องพยายามทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้เพราะอะไร เพราะเราฝึกกันมาแบบนี้ เรามีสติ เรามีศีล มีสมาธิ มีปัญญาทำด้วยการกระทำแบบนี้ ทำแบบนี้ขึ้นมาเพื่อหัวใจของเรา

แล้วถ้าหัวใจของเรานะ ใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจดวงนั้นมีประสบการณ์ ใจดวงนั้นมีการกระทำแล้ว ใจดวงอื่นๆ มันก็เหมือนกัน แต่มันต่างกันด้วยจริตนิสัย ต่างกันด้วยทัศนคติ ต่างกันด้วยรสนิยม แต่อริยสัจมีหนึ่งเดียว ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์

แล้วมึงดับอย่างไรล่ะ

“ไม่ต้องดับมันหายไปเอง”

เออ! เอ็งกลับบ้านเอ็งไป เป็นไปไม่ได้ มันหายไปเองมันคือชั่วคราวไง มันหลอกแล้วล่ะ บีบคั้นเกือบตายเลย แล้วคลายไปหน่อยหนึ่งดีใจ เดี๋ยวมันก็กลับมาบีบอีก

“มันหายไปเอง”

ในโลกนี้ไม่มีของฟรี ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันต้องมีเหตุมีผลของมัน มันต้องตัดรากเหง้าของมัน ถ้ามันทำความเป็นจริงแล้วนะ นั่นน่ะถึงจะเป็นสัจธรรม เอวัง